วันพฤหัสบดีที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

การทำสมาธิในพุทธศาสนา

การทำสมาธิในพุทธศาสนา

การทำสมาธิในพุทธศาสนา

การทำสมาธิ ไม่ต้องคอยให้ใจสงบ สามารถทำได้ทุกที่ ทุกเวลา แต่ถ้าต้องการความต่อเนื่องยาวนาน และให้ได้ผลการปฏิบัติที่ดีนั้น มีหลักการเบื้องต้นและขั้นตอนดังนี้

1. บริโภคน้ำ และอาหารไม่ให้อิ่มไป หิวไป ถ่ายท้อง แปรงฟัน อาบน้ำ เช็ดตัว ให้เรียบร้อย เตรียมร่างกายให้สะอาด นุ่งชุดที่ไม่คับตัว ผ้าเบาๆ สบายๆ ผ่อนคลาย
2. หามุมเงียบสงบ ไม่เสียงดัง ไม่เสียงดังอึกทึก ไม่มีการรบกวนจากภายนอกได้ง่าย มีอุณหภูมิที่พอเหมาะพอดีๆ ที่นั่งที่รู้สึกสบายกับตัวเอง เช่น ถ้าอายุมากเข่าไม่ดีอาจนั่งบนเก้าอี้ก็ได้
3. นั่งขาขวาทับขาซ้าย มือขวาทับมือซ้าย หรือวางมือตามสะดวกที่อื่นๆก็ได้ จะเป็นที่หน้าตักก็ได้ บนหัวเข่าก็ได้ ถ้าบนเข่าอาจหงายหรือคว่ำมือก็ได้
4. หลับตาเบาๆ ผ่อนคลายให้ขนตาชนกัน แต่อย่าเม้มตา
5. ขยับท่าทางให้รู้สึกว่าสบาย สังเกตตัวเองว่ามีการเกร็งไหม ถ้ามีขยับผ่อนคลายความรู้สึกไม่ให้เกร็ง
6. ทำใจให้โล่ง โปร่ง เบา สบาย ปล่อยวางสิ่งต่างๆในใจ ละปริโพธ หรือความกังวลต่างๆ ชั่วคราว อาจตั้งกำหนดเวลาในใจ ว่าจะอุทิศให้เวลาระหว่างนี้แก่การภาวนา ทำใจให้มีความสุข เพราะแค่เราอยากมีความสุข จิตเราก็จะมีความสุขทันที ทำใจให้สนุกกับการปฏิบัติธรรม
7. เมื่อสบายดีแล้ว สร้างสมาธิโดยให้ภาวนาในใจ จะใช้ความรู้สึกจับกับลมหายใจ หายใจเข้าสั้นก็รู้ หายใจออกสั้นก็รู้ หายใจเข้ายาวก็รู้ หายใจออกยาวก็รู้ โดยไม่ต้องใช้คำบริกรรมก็ได้ จะใช้คำบริกรรมว่า ว่า พุท เมื่อหายใจออกให้กำหนดว่า โธ ก็ได้ หรือจะใช้คำบริกรรมอื่นๆ เช่น นับ 1,2,3 .. ไปเรื่อยๆ เมื่อหายใจเข้าออกครั้งหนึ่ง หรือ นะมะ-พะธะ ก็ได้เช่นกัน (วิธีการเหล่านี้ เป็นวิธีการของโบราณจารย์)
8.ในระหว่างการปฏิบัติสมาธิธรรม อาจจะมีเรื่องฟุ้งซ่านเข้ามาเป็นระยะ อย่าสนใจ ถ้าจิตวอกแวกจนสนใจเรื่องอื่น เมื่อได้สติ ให้เริ่มภาวนาใหม่
9. อาจรู้สึกเมื่อย คัน ปวด ให้อดทน ถ้าทนไม่ไหวให้เปลี่ยนอิริยาบถแก้ เช่นเกาที่คัน แต่ให้ทำอย่างมีสติ เช่น ภาวนาว่า เมื่อยหนอๆ คันหนอๆ เกาหนดๆ ซึ่งถ้าจะลุกมาเดินจงกรมจนกว่าจะหายเวทนาก็ได้
10. เมื่อใจเริ่มสงบดีแล้ว จิตกำลังผ่านขณิกสมาธิ กำลังย่างเข้าอุปจารสมาธิ อาจจะมีความรู้สึกแปลกๆ มีอาการต่างๆกันไปตามสภาวะจิต ของแต่ละคน เช่นตัวหมุน ตัวเบา สั่น ขนลุกและอื่นๆ ก็ให้วางเฉยไปตั้งใจภาวนาเรื่อยๆ
11. เมื่อจิตเป็นสมาธิมากขึ้น คำภาวนาจะหายไป ให้กำหนดสภาวะที่รับรู้ได้เด่นชัดในจิต แล้วให้จิตไปจับไว้แทน เช่น ลมหายใจ
12. เมื่อจิตมีสมาธิแข็งกล้าขึ้น จิตจะนิ่งสงบเหมือนผิวน้ำที่ไร้คลื่น จิตจะกำหนดอะไรเป็นองค์ภาวนาไม่ได้ชั่วคราว เราอาจจะตกใจว่าไม่มีอะไรให้กำหนดได้อาจหลุดออกจากสมาธิได้ ให้พิจารณาว่า สภาวะที่กำหนดอะไรมิได้ เป็น ธรรมชาติ คือเป็นความจริงให้กำหนดความจริงนี้แทน
13. เมื่อทรงอารมณ์ไว้ได้อุคคหนิมิตจะบังเกิดขึ้น เหมือนน้ำนิ่งจะเห็นก้นสระ จิตจะเห็นภาพสัญญาที่เก็บในภวังคจิต(จิตใต้สำนึก) คือ อารมณ์ภาวนาที่กำหนดไว้ชัดขึ้นในจิต
14. เมื่อใจนิ่งได้ระดับนึง จะเริ่มเห็นความสว่างจากภายใน เป็นการเห็นด้วยใจ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น อันให้เกิดความเชื่อทางพุทธศาสนาต่างๆ เช่น เห็นสิ่งลี้ลับ กายทิพย์ต่างๆ หรือมีภาพ ให้เห็นเป็นเรื่องราวต่างๆ เช่นในอดีต หรือชาติที่แล้วมา หรือเหตุการณ์ในอนาคต ให้ทำใจเฉยๆอย่างเดียว หากมีข้อสงสัย หรือมีคำถาม มีสิ่งผิดปกติอะไรก็ช่าง ก็ให้บอกตัวเองว่าคิดไปเอง เพราะเราไม่อาจทราบได้ว่านิมิตรนั้นจริงเท็จเพียงใด จงอย่าสนในให้ทำสมาธิต่อไป เพราะแม้จะจริงก็จะทำให้เราล้าช้า ถ้าไม่จริงอาจทำเราเป็นมิจฉาทิฏฐิ หรือ อาจเสียสติได้ ถ้าคุมสมาธิจิตมิได้ก็ให้แผ่เมตตาแก่เจ้ากรรมนายเวร
15. เมื่อจิตเข้าสู่อัปปนาสมาธิจะเห็นปฏิภาคนิมิตร แต่ถ้ากำหนดอานาปานสติ และวิปัสสนา จะเห็นขันธ์ 5 เกิดดับขึ้น ให้ระวัง วิปัสสนูปกิเลส ถ้าผ่านไปได้ก็จะทำลายวิปลาสต่างๆ และบรรลุฌาน (ถ้าเน้นสมถ)หรือญาน(ถ้าเน้นวิปัสสนา)ตามลำดับ

ข้อแนะนำ คือ ต้องทำให้สม่ำเสมอเป็นประจำ ทำเรื่อยๆ อย่างสบายๆ ไม่เร่ง ไม่บังคับ ทำได้แค่ไหนให้พอใจแค่นั้น ซึ่งเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดความอยากจนเกินไป จนถึงกับทำให้ใจต้องสูญเสียความเป็นกลาง

ที่มา Wikipedia.com

วันจันทร์ที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2555

ธรรมสมาธิ

ธรรมที่ทำให้เกิดความมั่นสนิทในธรรม เกิดความมั่นใจในการปฏิบัติธรรมถูกต้อง กำจัดความข้องใจสงสัยเสียได้ เมื่อเกิดธรรมสมาธิ คือความมุ่งมั่นในธรรม ก็จะเกิดจิตตสมาธิ คือความตั้งมั่นของดวงจิต

ธรรมสมาธิ ห้าประการ มีดังนี้

๑. ปราโมทย์ (ความชื่นบานใจ ร่าเริงสดใส)

๒. ปีติ (ความอิ่มใจ, ความปลื้มใจ)

๓. ปัสสัทธิ (ความสงบเย็นกายใจ, ความผ่อนคลายรื่นสบาย)

๔. สุข (ความรื่นใจไร้ความข้องขัด)

๕. สมาธิ (ความสงบอยู่ตัวมั่นสนิทของจิตใจ ไม่มีสิ่งรบกวนเร้าระคาย)

ธรรม หรือคุณสมบัติทั้ง ๕ ประการนี้ ตรัสไว้ทั่วไปมากมาย เมื่อทรงแสดงการปฏิบัติธรรมที่ก้าวมาถึงขั้นเกิดความสำเร็จได้ชัดเจน ต่อจากนี้ ผู้ปฏิบัติจะมุ่งหน้าไปสู่การบรรลุผลของสมถะ (หมายถึงได้ฌาน) หรือวิปัสสนา แล้วแต่กรณี ดังนั้น จึงใช้เป็นเครื่องวัดผลการปฏิบัติขั้นตอนในระหว่างได้ดี และเป็นธรรมหรือคุณสมบัติที่สำคัญของจิตใจที่ทุกคนควรได้ทำให้เกิดมีอยู่เสมอ

วันจันทร์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2555

meditation

เจริญสมาธิ ภาวนาเบื้องต้น

เริ่มต้นโดยการนั่งขัดสมาธิ โดยเอาขาขวา ทับขาซ้าย มือขวาทับมือซ้าย ให้นิ้วชี้ขวา จรด นิ้วหัวแม่มือด้านซ้าย วางไว้บนหน้าตัก พอสบายๆ หลับตาลงเบาๆ พอสบายๆ ขยับตัวนั่งให้สบายๆ ให้รู้สึกผ่อนคลาย จากนั้นให้ทำใจของเราให้ปลอดโปร่ง สะอาด บริสุทธิ น้อมจิตอยู่ที่ลมหายใจ หายใจสบายๆ รู้สึกถึงลมหาย หายใจเข้าก็รู้สึก หายใจออกก็รู้สึก อาจจะมีความคิดฟุ้งซ่านเกิดขึ้น ก็อย่าไปสนใจ เพียงแต่รู้เฉยๆ ไม่ต้องไปกดข่ม รู้ว่าใจลอยก็กลับมาอยู่ที่ลมหายใจ ไม่ต้องกดข่ม เพียงแค่รู้เฉยๆ เท่านี้เราก็จะมีความสงบเพิ่มขึ้นที่ละน้อย การกระทำนี้ให้เข้าใจว่า เป็นปล่อยวาง ไม่กดดัน ปล่อยเป็นธรรมชาติ ปล่อยตามสบาย ทุกอย่างเราไม่ต้องรับรู้อารมณ์ ให้มีความรู้สึกแต่ลมหายใจ อย่าให้มีความกดดันเข้าถึงความสงบ

วันศุกร์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2555

สมาธิภาวนา คืออะไร

สมาธิ ภาวนา คืออะไร

“สมาธิ”
มีความหมายว่า ความมั่นคงของจิต หรือสภาวะที่จิต ตั้งมั่น มีความสงบ แน่วแน่ หมายถึง สภาวะที่จิตนิ่ง แน่วแน่ต่อสิ่งที่กำหนดอยู่ ไม่ว่าจะเป็นการคิด การพูด หรือการกระทำกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง โดยที่จิตนั้นไม่ฟุ้งซ่าน
ไปมา
“ภาวนา”
มีความหมายว่า การทำให้เกิดขึ้น มีขึ้น เป็นขึ้น การเจริญขึ้นในทางจิตใจการสำรวมใจ ตั้งความปรารถนา มุ่งมั่น คือคุณธรรมที่ยังไม่มีขึ้น ให้มีขึ้น ด้วยการฝึกอบรมจิตใจให้เจริญงอกงามขึ้นด้วยปัญญา และด้วยคุณธรรม
เพื่อความสงบ และความบริสุทธิ์ผ่องใส เป็นต้น

ประเภทของภาวนา นั้นมีอยู่ 2 ประเภท
ได้แก่ สมถภาวนา และ วิปัสสนาภาวนา

1. สมถภาวนา หมายถึง การฝึกจิตใจให้มีความสงบ เป็นการเจริญสมาธิโดยตรง คือ ฝึกภาวะจิตให้มีความตั้งมั่นแน่วแน่ ยิ่งขึ้นไปเป็นชั้นๆ โดยลำดับ จนถึงขั้นฌานในระดับต่างๆ

2. วิปัสสนาภาวนา หมายถึง การนำสมาธิ ไปใช้เป็นพื้นฐาน ในการฝึกปัญญา ให้เกิดความรู้แจ้งเห็นจริง ในสภาวะ รูป – นาม ของสิ่งทั้งหลายที่มีอยู่ในร่างกายของเรา โดยอาการแห่งความเป็นอนิจจัง ทุขขัง อนัตตา ทำให้ได้ญาณระดับต่างๆ และหลุดพ้นจากกิเลส ตัญหา และทุกข์ทั้งปวง จนกระทั่งบรรลุนิพพานได้
ระดับของสมาธิ

ในชั้นอรรถกถา แยกสมาธิออกเป็น 3 ระดับ คือ
1. ขณิกสมาธิ คือ สมาธิชั่วขณะเป็นสมาธิขั้นต้น ซึ่งคนทั่วไป อาจใช้ประโยชน์ในการปฏิบัติหน้าที่การงาน
ในชีวิตประจำวัน ให้เกิดผลดี และจะได้ใช้เป็นจุดตั้งตนในการเจริญวิปัสสนาภวานาก็ได้
2. อุปจารสมาธิ คือ สมาธิเฉียดๆ หรือ จวนแน่วแน่ เป็นสมาธิชั้นระงับนิวรณ์ (นิวรณ์ คือเครื่องขวางกั้นความสำเร็จ ได้แก่ อารมณ์พอใจรักใคร่ / ความคิดร้ายต่อผู้อื่น /ความง่วง / ความฟุ้งซ่าน – รำคาญใจ / ความลังเลสงสัย) ก่อนที่จะเข้าภาวะแห่งองค์ฌาน (ฌาน = ภาวะที่จิตสงบแน่วแน่ มีสมาธิโดยแบ่งได้อีก 4 ระดับ)
1 มีวิตก วิจารณ์ ปีติ สุข เอกัคตา
2 มีเพียง ปีติ สุข และ เอกัคตา (ไม่เหลือคำภาวนา หรือคำบริกรรมอีก)
3 มีแต่สุข กับเอกัคตา (ความสุขอื่นใดเทียบความสงบไม่มี)
4 ไม่เหลือสุข มีเอกัคตา กับอุเบกขา (ไม่สุข –ไม่ทุกข์ จิตวางเฉย)

มีลักษณะไม่รับรู้เรื่องใดๆ บางท่านจึงพูดว่า ทำตนเหมือนก้อนหิน ไม่รู้ร้อน ไม่รู้หนาว

3. อัปปนาสมาธิ คือ สมาธิแนบแน่น หรือแน่นอน ถือว่าเป็นสมาธิระดับสูงที่มีอยู่ในองค์ฌานนั้นๆ ซึ่งถือว่า
เป็นผลสำเร็จที่ต้องการในการเจริญสมาธิ