วันพฤหัสบดีที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2553

สมาธิ กับ จักระ

การฝึกสมาธิ ที่มีความสัมพันธ์กับ จักระ นั้นจะมีการใช้กันมากในฝ่ายมหายาน โดยอาศัยศาสตร์ของโยคะ ที่ให้ความสำคัญกับ จุดจักระต่างๆ บนร่างกาย ซึ่งสัมพันธ์กับพลังของจักรวาล
จักระคือศูนย์รวมของพลังงานภายในร่างกายของมนุษย์ ซึ่งเป็นศูนย์พลังอันละเอียดอ่อนที่โดยทั่วไปจะไม่สามารถสัมผัสได้ มนุษย์ มีจักระจำนวนมากมายอยู่ภายในร่างกาย จักระที่สำคัญของมนุษย์เรานั้น มีอยู่ด้วยกัน ๗ ตำแหน่งด้วยกัน จักระในแต่ละตำแหน่งมีหน้าที่ควบคุมการทำงานของอวัยวะส่วนต่างๆ ภายในร่างกายของคนเราให้ทำงานเป็นปกติ จักระทั้ง 7 นั้น จะมีความสัมพันธ์กับสีทั้ง 7 ของสีของรุ้งกินน้ำ โดยการฝึกสมาธิโดยการรวบรวมสมาธิไปที่จุดจักระต่างๆบนร่างกายนั้นทางโยคะมีความเชื่อว่าสามารถช่วยเบาเทาและรักษา อาการเจ็บป่วยที่มีความสัมพันธ์กับจักระนั้นๆได้

จักระ 1 (ดอกบัว 4 กลีบ) มีชื่อว่า มูละธารณะ อยู่ระหว่างอวัยวะเพศ และทวารหนัก มีความสัมพันธ์กับสีแดง
จักระที่ 1 นี้ เป็นรากฐานของระบบจักระ หรือระบบพลังงาน เป็นพื้นฐานของพลังชีวิต และเป็นกลไกที่ทำให้สืบทอดพันธุ์เป็นมนุษย์อยู่ในโลกทุกวันนี้
- ผู้ที่ปฏิบัติได้ถึงระดับสูงสุด จักระนี้จะเปิดเองโดยอัตโนมัติ

จักระ 2 (ดอกบัว 6 กลีบ) ชื่อว่า สวาธิษฐานะ ตั้งอยู่ตรงปลายก้นกบ เป็นศูนย์กลางเกี่ยวกับพลังทางเพศ รวมทั้งความเชื่อมั่นในตนเอง มีความสัมพันธ์กับสีส้ม
จักระที่ 2 นี้ ควบคุมระบบการสืบพันธุ์, การขับกากอาหารและของเสียออกจากร่างกาย (ระบบการขับถ่าย) รวมทั้งการตั้งครรภ์และการคลอด
- ใช้รักษาโรคเกี่ยวกับอัณฑะ, ท่อปัสสาวะ, อวัยวะสืบพันธุ์, มดลูก, รังไข่, ช่องคลอด, ทวารหนัก, กามโรค

จักระ 3 (ดอกบัว 8 กลีบ) มีชื่อว่า มณีปุระ อยู่ตรงแนวสะดือตัดกับกระดูกสันหลัง เป็นศูนย์กลางของการหยั่งรู้ ณ จุดนี้เป็นศูนย์กลางของร่างกาย มีความสัมพันธ์กับสีเหลือง
จักระนี้ ควบคุมระบบการย่อยอาหารและการขับถ่ายของเสีย
- ใช้รักษากระเพาะอาหาร, ลำไส้ใหญ่, ลำไส้เล็ก, ลำไส้อ่อน, ลำไส้แก่, ไส้ติ่ง, ตับ, ม้าม, ดี, กระเพาะปัสสาวะ, ไต, โรคเบาหวาน, ถุงน้ำดี, ต่อมหมวกไต

จักระ 4 (ดอกบัว 10 หรือ 12 กลีบ) ชื่อว่า อะนาหตะ โดยตั้งอยู่ตรงแนวหัวใจตัดกับกระดูกสันหลัง เป็นศูนย์รวมของความรักที่แท้จริง รวมทั้งการพัฒนาจิตใจ ด้วยความเมตตากรุณา และความเสียสละ จักระนี้สัมพันธ์กับสีเขียว
จักระที่4 มีหน้าที่ควบคุมระบบหมุนเวียนโลหิต, หัวใจและระดับไขมันในเส้นเลือด
- ใช้รักษาโรคหัวใจและหลอดเลือด เช่น หัวใจโต, หัวใจเล็ก, หัวใจรั่ว, ความดันโลหิตสูง, ไขมันในเส้นเลือด, หัวใจเต้นอ่อนและเหนื่อยเร็ว

จักระ 5 (ดอกบัว 16 กลีบ) ชื่อว่า วิศทะ อยู่ตรงบริเวณเส้นแนวไหล่ตัดกับกระดูกสันหลัง เป็นศูนย์รวมของความรัก ความเห็นอกเห็นใจ ความสมดุลของสติปัญญา โดยจักระนี้สัมพันธ์กับสี ฟ้า หรือ น้ำเงิน
จักระนี้ ควบคุมระบบทางเดินหายใจ และผิวหนัง
- ใช้รักษาโรคปอด, หลอดลม, ลำคอ, ไซนัส, ต่อมผิวหนัง, หลอดลมอักเสบ, หอบหืด, ไอ, จมูก, ผื่นคัน, โรคผิวหนัง

จักระ 6 (ดอกบัว 2 กลีบใหญ่ และกลีบย่อย 100 กลีบ) ชื่อว่า อะชะ ตั้งอยู่ตรงกลางหน้าผาก หว่างคิ้ว เปรียบเสมือนนัยน์ตาของปัญญา ใช้เป็นตาที่ 3 (ญาณวิเศษ) โดยห้ามใช้จักระนี้ในการรักษาโรคอย่างเด็ดขาด จักระนี้มีความสำพันธ์กับสีน้ำเงินเข้ม
จักระนี้ ควบคุมสติปัญญา, ความนึกคิด, ความเฉลียวฉลาด, และระบบประสาท
- จักระนี้ใช้ทำสมาธิเท่านั้น (ถ้ารักษาโรคด้วยจักระนี้ จักระที่เปิดไว้ทุกจักระจะปิด)

จักระ 7 (ดอกบัว 1,000 กลีบ) ชื่อว่า สหสราระ อยู่ตรงกลางกระหม่อมหรือจุดตัดของเส้นที่ลากจากปลายจมูก ผ่านกลางหน้าผาก ตัดกับเส้นที่ลากจากหูซ้ายไปหูขวา เปรียบเสมือนมงกุฎดอกบัว มีความสัมพันธ์กับสี ม่วงเข้ม – สีดำ
จักระนี้ใช้ ควบคุม ระบบประสาททั้งหมดของร่างกาย เป็นศูนย์ควบคุมทุกจักระ เป็นจุดรับพลังจักรวาล และทำการกระจายไปทั่วร่างกาย เป็นจุดที่ สามารถรักษาอาการเจ็บป่วย ที่จักระอื่นไม่สามารถรักษาได้โดยตรง
- ใช้รักษาเส้นประสาท, สมอง, ตา, หู, อวัยวะในช่องปาก, โรคเจ็บป่วยซึ่งเกี่ยวกับระบบประสาททั่วไป ที่อยู่นอกเครือข่ายของ จักระอื่น เช่น ระบบกล้ามเนื้อ, ไทรอยด์, ต่อมทอนซิล, กล่องเสียง

วันศุกร์ที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2553

สมาธิ คืออะไร

สมาธิ คืออะไร

สมาธิ คือการที่มีจิตใจจดจ่ออยู่กับเรื่องใด เรื่องหนึ่ง โดยไม่คิดฟุ้งซ่านไปคิดเรื่องอื่นๆ
การฝึกสมาธินั้นไม่ได้มีอยู่แค่ใน พุทธศาสนาเท่านั้น โดยการฝึกทำสมาธิมีมาก่อนสมัยพุทธกาลเสียอีก นอกจากนี้การฝึกสมาธิ มีอยู่ทั่วไปในศาสนาอื่นๆ รวมถึงลัทธิความเชื่อต่างๆ อีกมากมาย แม้แต่การเล่นโยคะก็มีเรื่อง สมาธิเข้ามาเกี่ยวข้อง โดยในแต่ละกลุ่ม แต่ละความเชื่อก็มีจุดมุ่งหมายในการฝึก สมาธิ ที่แตกต่างกันออกไป เช่น ในศาสนาพุทธ การฝึกสมาธิก็เพื่อทำให้เกิดความสงบในจิตใจ โดยการฝึกทำสมาธิ ในพุทธศาสนา ก็ยังแบ่งเป็น 2 วิธี คือ สมาธิ และ วิปัสสนา สำหรับการทำสมาธิในศาสนาฮินดูนั้น เพื่อฝึกการควบคุมจิตใจ และ ควบคุมอารมณ์ ส่วนในลัทธิเต๋า นั้นทำสมาธิเพื่อให้เกิดความสงบ และเกิดความแข็งแกร่งและความสมดุล ของร่างกายและจิตใจ ตามหนัก หยิน และ หยาง หรือแม้แต่ในปัจจุบัน การฝึกอบรมพัฒนาศักยภาพของบุคคล ก็ยังนำหลักของการฝึกสมาธิเข้ามาใช้ ซึ่งส่วนใหญ่จะเรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า "Focus" ซึ่งก็คือการจดจ่อกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งนั้นเอง แม้แต่ทางด้านการแพทย์ การฝึกสมาธิยังสามารถช่วยเกี่ยวกับอาการ สมาธิสั้น อีกด้วย



สำหรับการฝึกสมาธิ นั้น ไม่จำเป็นที่จะต้องฝึกในท่านั่งเท่านั้น ไม่ว่า จะเป็นการนอน การนั่ง การยืน หรือ แม้แต่การเดิน ก็สามารถใช้ในการฝึกสมาธิได้ ทั้งนั้น สำหรับการในทางพุทธศาสน์ นิยมทำสมาธิ ในท่านั่งขัดสมาธิ เพราะเชื่อว่าเป็นท่าที่ทำให้เข้าถึงความสงบของจิตใจได้ดีที่สุด การฝึกสมาธิมีประโยชน์หลายด้านไม่เฉพาะทางด้านศาสนาเท่านั้น การฝึกสมาธิยังมีประโยชน์ในชีวิตประจำวัน และสุขภาพจิต นานาประการอีกด้วย

สมาธิ : การ เดินสมาธิ เดินจงกรม

สมาธิ : เดินสมาธิ หรือ เดินจงกรม

การเดินก็เป็นอีกวิธีหนึ่งในการฝึกสมาธิ ซึ่งจะทำให้ร่างกายได้ผ่อนคลาย และได้เคลื่อนไหวเปลี่ยนอริยาบท ไปด้วยระหว่างการทำ สมาธิ การเดินจงกรม (เดินสมาธิ) จะเกิดผลดีถ้าฝึกควบคู่กับการนั่งสมาธิไปด้วย การเดินจงกรม สามารถเดินได้ทั้งรอบที่สั่นและยาว ตามแต่พื้นที่จะอำนวย แต่โดยปกติ การเดินสมาธิ นิยมใช้ สถานที่ยาวประมาณ 5 - 10 เมตร หรือประมาณ 25 ก้าว เนื่องจาก ระยะทางที่ไม่ยาวเกินไป และไม่สั้นเกินไปจนทำให้เวียนหัว การเดินสมาธินั้นไม่ต้องหลับตา ระหว่างเดินสมาธิมองพื้นที่ที่เราจะเดินไป แต่จะไม่มองไกลเกินไปเพราะจะทำให้จิตหลุดจากสมาธิได้ง่าย แต่ก็ไม่ก้มมากเกินไปจนปวดต้นคอ

จากนั้นก็เริ่มเดินสมาธิ โดยการก้าวขาขวาไป ก็นึกคำว่า "พุท" และเมื่อก้าวขาซ้ายไปก็นึก คำว่า "โธ" หรือจะเจริญสมาธิภาวนา เป็นคำอื่นก็ได้ แล้วแต่จะกำหนด และกำหนดจิตสมาธิจดจ่ออยู่กับ เท้าที่ก้าวเหยียบสัมผัสลงพื้น เมื่อเดินสมาธิมาถึงปลายทาง ให้หยุดและ แล้วก็หันกลับด้านขวา มาทางเดิม โดยความเร็วในการเดินสมาธิ ไม่ควร เร็ว หรือ ช้า เกินไป กำหนดจิตสมาธิ ให้อยู่ที่ก้าวเดินและคำภาวนา เกิดเป็นสมาธิ

การเดินสมาธิ ถ้าจะให้เกิดผล เราควรทำอย่างน้อย 30 นาที และจะดีมากขึ้นถ้า ฝึกการนั่งสมาธิควบคู่ไปด้วย

วันศุกร์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2553

การฝึกสมาธิเบื้องต้น

การฝึก นั่งสมาธิ เบื้องต้น

ก่อนอื่นเราควรหาสถานที่ที่เงียบ และ สงบ สำหรับการเริ่มฝึกสมาธิ เพราะการที่มีสิ่งแวดล้อมที่รบกวนการนั่งสมาธิ จะทำให้จิตใจของเรา หลุดจากสมาธิได้ง่ายกว่าในที่ที่เงียบสงบ นอกจากนี้ สภาพแวดล้อมก็ควรที่จะมีความสะอาด ถูกสุขลักษณะ อากาศถ่ายเทได้สะดวก ไม่มีกลิ่นรบกวน หรือ อับชื้น



ส่วนขั้นตอนการเริ่มฝึกสมาธิ หลายท่านคงเคยฝึกมาบ้างแล้ว หรือไม่อย่างน้อยที่สุดก็เคยได้ยินมาบ้าง
ว่าให้เรากำหนดลมหลายใจเข้าออก มีจิตใจจดจ่ออยู่กับการเข้าออกของลมหายใจ ซึ่งแต่ละสำนักอาจจะมีการเจริญภาวนาที่ต่างๆกันออกไป เช่น พุทธโธ, ยุบหนอ พองหนอ เป็นต้น ที่จริงแล้วคือการที่ทำให้เรามีจิตใจจดจ่ออยู่กับตัวเรา มีสมาธิ มีสติ ไม่คิดฟุ่งซ่านไปที่อื่น การที่เรามีสมาธิอยู่ที่ตัวเรา เป็นการฝึกสมาธิที่ง่ายที่สุด เพราะถ้าเราจดจ่อจิตใจไปในเรื่องอื่นภายนอก จะทำให้เราฟุ้งซ่านได้ง่ายนั้นเอง แน่นอนว่าการนั่งสมาธิแรกๆ ความคิดนั้นอาจจะฟุ้นซ่านไปที่อื่นได้ ซึ่งเป็นปกติธรรมดา สำหรับผู้ที่ฝึกสมาธิใหม่ๆ เมื่อรู้ว่าฟุ้นซ่านก็ให้รวมรวมสมาธิกลับมาจดจ่ออยู่ที่ตัวเราอีกครั้ง

การฝึกนั่งสมาธิเบื้องต้น นั้นเราควรที่จะเริ่มนั่งสมาธิโดยใช้เวลาสั้นๆ ก่อน ประมาณ 10 - 15 นาที แล้วค่อยเพิ่มเป็น ครึ่งชั่วโมง และ 1 ชั่วโมง ตามลำดับ

วันจันทร์ที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2553

ประโยชน์ของ สมาธิ

ประโยชน์ของ สมาธิ

ประโยชน์ของสมาธิ ในด้านสุขภาพจิต
สมาธิ ช่วยทำให้ สุขภาพของใจดีขึ้น คือ ทำให้จิตใจเบิกบาน ผ่องใส บริสุทธิ์ สงบ เยือกเย็น ปลอดโปร่ง สบาย เป็นสุข เสริมสร้างสติปัญญา และ ความจำ การฝึกสมาธิยังส่งเสริมสุขภาพจิตที่ดี รวมถึงการทำงานของสมอง สมาธิทำให้คิดอะไรได้รวดเร็ว ถูกต้อง และและมีประสิทธิภาพ

ประโยชน์ของสมาธิ ในด้านพัฒนาบุคลิกภาพ
สมาธิ ส่งเสริมทำให้ มีบุคลิกภาพที่ดี มีความ กระปรี้กระเปร่า กระฉับกระเฉง มีความองอาจสง่าผ่าเผย สมาธิยังมีผลทำให้ผิวพรรณผ่องใส เสริมสร้างความฉลาดทางอารมณ์ สมาธิช่วยทำให้มีความ หนักแน่น เยือกเย็น และเพิ่มความเชื่อมั่นในตนเอง มีมนุษย์สัมพันธ์ดี วางตัวได้เหมาะสมกับกาลเทศะ เป็นผู้มีเสน่ห์ เพราะไม่มักโกรธ ม มีความเมตตากรุณาต่อบุคคลทั่วไป

ประโยชน์ของสมาธิ ด้านชีวิตประจำวัน
ในการดำชีวิตประจำวัน สมาธิช่วยให้คลายความเครียด และเป็นเครื่องมือเสริมประสิทธิภาพในการทำงานต่างๆ รวมถึงการเรียน การศึกษา สมาธิยังช่วยเสริมสร้างให้มีสุขภาพแข็งแรง เพราะร่างกายกับจิตใจย่อมมีอิทธิพลต่อกัน ตามคำกล่าวที่ว่า จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว ถ้าจิตใจเข้มแข็ง ด้วยการฝึกสมาธิ ย่อมเป็นภูมิต้านทานโรคไปในตัว

ประโยชน์ของ สมาธิ ด้านศีลธรรม และ จริยธรรม
สมาธิ ช่วยทำให้เป็นผู้มีประพฤติดี สามารถยับยั่งช่างใจ ให้พ้นจากความชั่ว และสร้างจิตใจดี ทำให้สามารถดำรงชีวิตในทางที่ดี ทั้งทางกาย วาจา และ ใจ ทำให้เป็นผู้มีความพอเพียง มีความอดทนอด รักสงบ และมีขันติเป็นเลิศ สมาธิยังช่วยให้จิตใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มีจริยธรรม และ เห็นแก่ความถูกต้อง

ประโยชน์ของ สมาธิ ด้านสุขภาพร่างกาย
สมาธิ ช่วยเสริมสุขภาพกายให้สมบูรณ์แข็งแรง และยังสามารถแก้ไขอาการของโรคต่างๆได้ โดยร่างกายและจิตใจมีความเชื่อมโยงและมีอิทธิพลซึ่งกันและกัน เมื่อจิตใจมึความอ่อนแอ เศร้าหมองเสียใจ หรือเครียด ก็จะทำให้ร่างกายทรุดโทรม และเกิดโรคภัยไข้เจ็บขึ้นมาได้ ดังนั้น การมีจิตใจที่เข้มแข็งโดยการฝึกสมาธิ จึงทำให้สุขภาพร่างกายแข็งแรงได้อย่างแน่นอน